วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สองผัวเมียใจดีรับคนชราไร้ญาติมาดูแล เกือบ 20 ชีวิต ทำมานานถึง 10 ปีแล้ว


ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีสองผัวเมียผู้ใจบุญนำคนป่วยและชราภาพที่ไม่มีญาติมาดูแลตามโรงพยาบาลนำมาดูแลเองที่บ้านศิริวัฒนธรรม เลขที่ 66 หมู่ 6 ต.ดอนกรวย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ขณะนี้มีผู้ป่วยและคนชราอยู่ในความดูแล เกือบ 20 คน และขณะนี้สถานที่นี้กำลังขาดแคลนอุปกรณ์หลายอย่าง ในการดูแล และวอนผู้ใจบุญช่วยเหลือด่วน

ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปบ้านดังกล่าว พบว่าสภาพบ้านเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง มีเตียงนอนเรียงรายเกือบ 20 เตียง แต่ละเตียงจะมีคนชรานอนอยู่เต็มทุกเตียง นอกจากนี้ยังได้พบกับนางสาวนารี นีสันเทียะ อายุ 38 ปี และนายกล้า ศิริวัฒนธรรม อายุ 30 ปี สองผัวเมียที่เป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว กำลังทำการดูแลและพยาบาลคนชราที่นอนอยู่บนเตียงนอน โดยนายกล้า ได้เล่าให้ฟังถึงความเป็นที่นำคนชราและคนป่วยมาดูแลว่า ในอดีตนั้นนางสาวนารีซึ่งเป็นภรรยามีอาชีพรับจ้างดูแลคนป่วยที่โรงพยาบาลดำเนินสะดวก อ.ดำเนินสะดวก โดยคิดค่าเฝ้าดูแลวันละ 300 บาท ทำมาเป็นเวลา 4 ปี

ส่วนตัวเองนั้นประกอบอาชีพทำไก่สดส่งขายตามตลาด ส่วนผู้ป่วยที่ภรรยาไปดูแลแต่ละรายส่วนใหญ่เป็นคนชราและช่วยตัวเองไม่ได้ บางคนเป็นแผลเรื้อรัง และเมื่อดูแลไปนานวันญาติผู้ป่วยก็หายไปและไม่มาเยี่ยมผู้ป่วยเลย เมื่อไม่ได้รับค่าจ้างและคนป่วยเองก็ไม่มีใครดูแลด้วยความสงสารจึงได้มาปรึกษาว่าจะนำมาดูแลเองที่บ้าน โดยได้ประสานกับทางโรงพยาบาลดำเนินสะดวก เนื่องจากเกรงว่าจะมีญาติมาติดต่อก็จะได้ติดตามไปรับผู้ป่วยได้ที่บ้าน นอกจากนี้ยังเป็นการลดภาระของโรงพยาบาลด้วย เริ่มแรกก็ลงทุนซื้อเตียงนอนให้เพียงแค่ไม่กี่คนต่อมามีคนทราบข่าวว่า มีสถานที่รับดูแลผู้ป่วยที่เป็นคนชรา จึงมีคนนำมาให้ดูแลเพิ่มอีกบางรายที่นำมาให้ช่วยดูแล เมื่อมีอาการดีขึ้นก็จะมารับกลับไป ซึ่งจะหมุนเวียนมาอย่างนี้

แต่ก็จะมีบางรายที่ในช่วงแรกๆญาติก็จะมาเยี่ยมเยียนและส่งข้าวของและเงินทองให้บ้างต่อมาก็หายเงียบไป แม้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตไปบ้างแล้วแต่ก็ไม่มีญาติมาติดต่อ จนถึงตอนนี้เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่ทำหน้าที่ดูแลบุคคลเหล่านี้มา ส่วนตนเองก็ต้องเลิกอาชีพทำไก่สดส่งขายและมาช่วยภรรยาดูแลคนชราเหล่านี้ ตอนนี้มีสมาชิกที่เป็นคนชราเพิ่มเกือบ 20 คนแล้ว แม้ว่าจะมีญาติของบุคคลเหล่านี้ที่คอยส่งเสียให้บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่เพียงพอต่อค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์ในการทำแผลเนื่องจากหลายคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ต้องนอนซมอยู่บนเตียง จึงเกิดแผลกดทับ จึงต้องคอยทำความสะอาดแผลให้ตลอดเพื่อไม่ให้ลามไปที่อื่น และยังมีค่าน้ำค่าไฟ ทำให้ เงินทองที่สะสมเอาไว้ก็หมดลง จะกลับไปทำอาชีพเดิมก็ไม่ได้ เพราะเราทิ้งเขาไม่ได้ เราต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและสังเกตอาการเกือบทุกชั่วโมง ต้องวัดความดัน ต้องให้อาหาร น้ำดื่ม ดูแลทำความสะอาดเมื่อผู้ป่วยขับถ่าย หรือเมื่อมีอาการผิดปกติต้องเรียกหมอที่อนามัยใกล้บ้านมาดูแล

หากบางรายอาการไม่ดีต้องรีบส่งโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังต้องทำหน้าที่เป็นลูกหลานให้กับบุคคลเหล่านี้โดยการพูดคุย เล่าเรื่องต่างๆที่เป็นประโยชน์รวมทั้งใช้ธรรมะมาช่วยในการดูแลโดยการเปิดเทปเพลงธรรมะบ้าง เทปพระเทศน์บ้าง จึงทำให้ในทุกวันไม่เคยได้ว่างเว้นเลยเพราะต้องหมุนเวียนทุกเตียงเพื่อให้ครบทุกคน ซึ่งการดูแลนั้นก็ทำเท่าที่ตนกับภรรยาจะทำได้ และตอนนี้ก็มีอาสาสมัครมาช่วยดูแลอีกหนึ่งคน ซึ่งบางทีก็ให้ค่าตอบแทนบ้างแล้วแต่ว่าจะมีแค่ไหนนายกล้ายังกล่าวต่ออีกว่า สิ่งที่ตนกับภรรยาทำนั้นไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไรกับญาติผู้ป่วยที่นำมาให้ดูแล แต่เป็นการช่วยเหลือสังคมในการดูแลผู้ป่วยด้อยโอกาสและไม่มีญาติดูแลซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนชราที่ลูกหลานไม่สนใจปล่อยทิ้งโดยไม่ได้คำนึงความรู้สึกของคนเหล่านี้

อีกทั้งช่วยเหลือผู้ป่วยที่เจ็บป่วยระยะสุดท้ายของชีวิตที่มีความทุกข์ทั้งกายและใจ เพื่อให้ผู้ป่วยที่ชรามีความรู้สึกมั่นใจ อบอุ่นใจว่าไม่ถูกสังคมไทยทอดทิ้งและอยากเป็นคนต้นแบบ ที่มีแบบอย่างให้สังคมรับทราบและปฏิบัติตาม โดยเน้นชีวิตที่มีคุณค่า แต่เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล หรือ อบต.ได้ติดต่อที่จะนำคนชรามาให้ดูแลมากยิ่งขึ้น ส่วนทุนทรัพย์ที่ได้จากการบริจาคจากหน่วยงานต่างๆ ก็ยังไม่พอเพียงกับค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับการดูแลคนชราที่ป่วยเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตให้ดีมีคุณภาพ ถึงแม้จะเหนื่อยยากลำบากเพียงใด ตนและครอบครอบครัวขออุทิศตนทำงานนี้เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมต่อไปหากท่านใดจะไห้ความช่วยเหลือ หรือจะบริจาค ชื่อบัญชี นายกล้า ศิริวัฒนธรรม นางบุษยา แซ่อุ่น เลขบัญชี 707-0-13698-6 ธนาคารกรุงไทยสาขาดำเนินสะดวก
ติดต่อสอบถาม นายกล้า โทร. 083-5590526



ภาพ/ข่าว  ภัทรพงศ์  คำเปรม
23/08/53

5 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ท่านที่บริจาคเงินและสิ่งของกับบ้านศิริวัฒนธรรม ( บ้านสงเคราะห์คนชรา ) ท่านทราบไหมว่า เงินและสิ่งของของท่านที่บริจากมานั้น นำมาใช้ใช้อย่างสมเหตุสมควรหรือเปล่าไม่ใช่เอามาใช้เผื่อประโยชน์ส่วนตัว

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เราเป็นคนแถวนั้นเหมือนกัน ไม่รู้นะเราก็เห็นเขามีฐานะดีขึ้นตกว่าเมื่อก่อนเยอะเหมือนกัน

MooMay กล่าวว่า...

เราไปเหนกับตาแล้ว การที่เค้ามีฐานะดีกว่าแต่ก่อนมันก็ไม่ใช่ว่าแย่นิ่ เค้าก็ช่วยคนแก่ที่นั่นทั้งแหละ เคยเหนเค้าทิ้งคนแก่ ปล่อยอดอยากหิวโซรึปล่าว เคยไปสัมผัสไปช่วยเหลือเค้ารึยัง ถึงว่าเค้า

Baebe zaza กล่าวว่า...

เราก็ไปมาแล้วนะ อืมที่สุดแห่งคนจริงๆเลย ใครไม่รู้หรือไม่ได้ไปสัมผัสก็อย่าคิดไปในทางลบก่อน ถ้าลองเปลี่ยนให้คุณไปทำแบบเค้าดูแลทั้งหมด อาบน้ำป้อนข้าว เช็ดขี้เช็ดอึ ลองถามตัวเองว่าทำได้ไหม ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ มือไม่พายอย่าเอาเท้าลาน้ำนะค่ะ (ขออภัยที่เม้นดูรุนแรงแต่พูดจากใจ)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คนที่มีจิตอกุศล. ต้องได้ลองสัมผัสดู. ลองแค่ญาติพี่น้องตนเองก่อน. อย่างที่บอก เช็ด ขี้ เช็ดเยี่ยว. อาบน้ำ ทำอาหารให้ ทุกวัน วันละสามมื้อ บางรายกินเองไม่ได้ก็ต้องป้อน. บางราย ารมณ์หงุดหงิดใส่เขาอีก. ทั้งที่อยู่ฟรี กินฟรี. แต่เขาก็ทน ได้. ค่าใช้จ่าย. รัฐก็ไม่ได้ช่วย ทำไมไม่คิดว่าฐานะ ความเป็นอยู่เขาดีขึ้นเพราะบุญกุศลส่ง. หรือเอาง่ายๆ เขามีกิจการขายมะพร้าว. บางฤดูกาล. มะพร้าว /กะทิ ก็แพงมาก เขาขายได้ราคา. แต่ผลกำไรที่ได้ เขาก็นำมาใช้จ่ายตรงนี้ ชีวิตความเป็นส่วนตัวหายหมด ความจริงหากเขาไม่เสียสละ มาดูแลผู้สูงอายุเหล่านี้ เขาคงมีเงินเก็บเยอะแยะ. ถ้าคุณไม่เคยบริจาค. หรือยังไม่เคยเห็น ก็ลองสละเวลาเข้ามานั่งดูเขาปฏิบัติ ภาระกิจประจำวัน. กับผู้สูงอายุ 32 ราย หากจิตใจไม่หยาบกระด้างจนเกินไปนัก. เชื่อว่าสิ่งที่คุณเห็น กับสิ่งที่คนคิด มันคงเปลี่ยนไป. ลองดูนะคะ