บทสรุปการวิจัยสถานการณ์ปัญหาเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรี กรณีศึกษาวิทยาลัยเทคนิคในเขตจังหวัดราชบุรีการวิจัยเรื่องสถานการณ์ปัญหาเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรี : กรณีศึกษาวิทยาลัยเทคนิคในเขตจังหวัดราชบุรีในครั้งนี้ มุ่งศึกษาสถานการณ์ปัญหาเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรี ในเรื่อง พฤติกรรม ทัศนคติและสุขภาพ ตลอดจนศึกษาบริบทที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา และเป็นแนวทางในการจัดทำแผนพัฒนากลุ่มเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรี โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ระดับ ปวช. และ ปวส. ของวิทยาลัยเทคนิคจำนวน 3 แห่ง คือ วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี 2 และ วิทยาลัยเทคนิคโพธาราม จำนวนทั้งสิ้น 1,807 คน
ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมปัญหาของวัยรุ่นที่พบมากที่สุด ได้แก่ เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ รองลงมา คือใช้จ่ายเงินการแต่งตัว เที่ยวเตร่ หรือซื้อของใช้ที่เกินความจำเป็น และขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด ซึ่งมากกว่าร้อยละ 60 นอกจากนั้นประมาณ 1 ใน 3 ขึ้นไปมีการดื่มสุรา เล่นการพนัน และก่อการทะเลาะวิวาท อีกทั้งมีการใช้ยาเสพติด ร้อยละ 5.2 โดยมีพฤติกรรมที่ปฏิบัติสม่ำเสมอมากที่สุด ได้แก่ ขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด รองลงมา คือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ และสูบบุหรี่
กลุ่มตัวอย่างเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ร้อยละ 45.7 โดยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก อายุ 8-19 ปี และช่วงอายุที่มากที่สุด คือ 14-15 ปี เหตุผลในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ส่วนใหญ่เพศชายเกิดจากความเต็มใจ เพศหญิงเกิดจากความพลั้งเผลอ และมีส่วนหนึ่งถูกบังคับขืนใจ ร้อยละ 10.06 บุคคลที่กลุ่มตัวอย่างมีเพศสัมพันธ์ด้วยครั้งแรกมากที่สุด คือ แฟน รองลงมาคือ คนรู้จัก และ เพื่อน และส่วนหนึ่งมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับบุคคลในครอบครัวและญาติ ร้อยละ 2.46 อีกทั้งพบว่า สถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์มากที่สุด ได้แก่ เพศชายใช้บ้านของตนเอง รองลงมาคือบ้านเพื่อน เพศหญิงใช้บ้านแฟน รองลงมาคือบ้านตนเองและหอพัก และในการมีเพศสัมพันธ์กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุด รองลงมาใช้ยาคุมกำเนิด แต่มีส่วนหนึ่งที่ไม่มีการป้องกัน ร้อยละ 9.01
กลุ่มตัวอย่างเคยฆ่าตัวตายมาแล้ว ร้อยละ 7.25 โดยเพศหญิงมีมากกว่าเพศชาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหาครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือปัญหาเรื่องแฟน
ทัศนคติต่อพฤติกรรมปัญหาของวัยรุ่น พบว่า กลุ่มตัวอย่างตอบว่าพฤติกรรมที่ต้องหลีกเลี่ยงมากที่สุด ได้แก่ คิดฆ่าตัวตาย รองลงมา คือใช้ยาเสพติด และหยิบฉวยทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน แต่พฤติกรรมที่คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ทำได้ในวัยรุ่นมากที่สุด ได้แก่ การดื่มสุรา รองลงมา คือ การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน และการขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด
ด้านสุขภาพ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีภาวะสุขภาพปกติ ร้อยละ 66.4 และมีปัญหาสุขภาพในระดับมาก ร้อยละ 7.3
ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมปัญหาของวัยรุ่นที่พบมากที่สุด ได้แก่ เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ รองลงมา คือใช้จ่ายเงินการแต่งตัว เที่ยวเตร่ หรือซื้อของใช้ที่เกินความจำเป็น และขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด ซึ่งมากกว่าร้อยละ 60 นอกจากนั้นประมาณ 1 ใน 3 ขึ้นไปมีการดื่มสุรา เล่นการพนัน และก่อการทะเลาะวิวาท อีกทั้งมีการใช้ยาเสพติด ร้อยละ 5.2 โดยมีพฤติกรรมที่ปฏิบัติสม่ำเสมอมากที่สุด ได้แก่ ขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด รองลงมา คือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ และสูบบุหรี่
กลุ่มตัวอย่างเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ร้อยละ 45.7 โดยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก อายุ 8-19 ปี และช่วงอายุที่มากที่สุด คือ 14-15 ปี เหตุผลในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ส่วนใหญ่เพศชายเกิดจากความเต็มใจ เพศหญิงเกิดจากความพลั้งเผลอ และมีส่วนหนึ่งถูกบังคับขืนใจ ร้อยละ 10.06 บุคคลที่กลุ่มตัวอย่างมีเพศสัมพันธ์ด้วยครั้งแรกมากที่สุด คือ แฟน รองลงมาคือ คนรู้จัก และ เพื่อน และส่วนหนึ่งมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับบุคคลในครอบครัวและญาติ ร้อยละ 2.46 อีกทั้งพบว่า สถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์มากที่สุด ได้แก่ เพศชายใช้บ้านของตนเอง รองลงมาคือบ้านเพื่อน เพศหญิงใช้บ้านแฟน รองลงมาคือบ้านตนเองและหอพัก และในการมีเพศสัมพันธ์กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ โดยใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุด รองลงมาใช้ยาคุมกำเนิด แต่มีส่วนหนึ่งที่ไม่มีการป้องกัน ร้อยละ 9.01
กลุ่มตัวอย่างเคยฆ่าตัวตายมาแล้ว ร้อยละ 7.25 โดยเพศหญิงมีมากกว่าเพศชาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหาครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือปัญหาเรื่องแฟน
ทัศนคติต่อพฤติกรรมปัญหาของวัยรุ่น พบว่า กลุ่มตัวอย่างตอบว่าพฤติกรรมที่ต้องหลีกเลี่ยงมากที่สุด ได้แก่ คิดฆ่าตัวตาย รองลงมา คือใช้ยาเสพติด และหยิบฉวยทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน แต่พฤติกรรมที่คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ทำได้ในวัยรุ่นมากที่สุด ได้แก่ การดื่มสุรา รองลงมา คือ การมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน และการขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด
ด้านสุขภาพ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีภาวะสุขภาพปกติ ร้อยละ 66.4 และมีปัญหาสุขภาพในระดับมาก ร้อยละ 7.3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น