รมช.พานิชย์เปิดโครงการแทรกแซงราคาข้าว ยันไทยลดระดับความสัมพันธ์เขมร ในวันนี้เวลา 12.00 น. นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์ ได้เดินทางมาที่โรงสีณัฐวุฒิ ต.เขาแร้ง อ.เมือง จ.ราชบุรี เพื่อเปิดจุดโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี การผลิต 2552/53 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดราคากลางอยู่ที่ 8,389 บาท/ตัน แต่โรงสีนั้นรับซื้ออยู่ที่ราคา 9,000 บาท/ตันในความชื้นไม่เกิน 15 % ซึ่งทำให้ชาวนานั้นมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งโรงสีแห่งนี้ได้เริ่มเปิดการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือกในวันนี้เป็นวันแรกและจะเปิดไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2553
หลังจากนั้นนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์ ได้กล่าวถึงกรณีความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ลดระดับความสัมพันธ์ลงแต่ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังได้ทบทวนพันธกรณีที่ไทยมีกับกัมพูชาและ การให้ความช่วยเหลือกับกัมพูชา เพราะนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาไม่เกียรติประเทศไทยและไม่เคารพศักดิ์ศรีของประเทศไทย และยังละเมิดเสมือนหนึ่งหมิ่นกระบวนการยุติธรรมของไทย ด้วยการไปแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยซึ่งเป็นนักโทษหนีคดี และถูกพิพากษาให้จำคุกแล้วแต่หนีหลบคดีและยังหลบหนีอีกหลายคดีเรื่องการทุจริตคอรับชั่น และรวมทั้งการที่จะประกาศไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนทั้งที่มีความตกลงอย่างไม่มีเหตุผล ผิดต่อธรรมเนียมปฎิบัติระหว่างประเทศ จึงต้องปรับระดับความสัมพันธ์ลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในส่วนความสัมพันธ์ของประชาชนก็ยังคงเดิม ซึ่งยังมีการค้าขายกันได้ แต่อย่าเอาปัญหาส่วนตัวไปสร้างปัญหาให้ประเทศไทย กับกัมพูชา และเอาการเมืองภายในไปทำให้ประเทศไทยเสียหาย ซึ่งนายกฮุนเซนควรแยกแยะระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่าให้มากระทบผลประโยชน์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งมีมายาวนานเป็นร้อยๆปี เรื่องที่นักลงทุนของไทยจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชาก็ได้มีการเรียกประชุมชี้แจง ซึ่งผู้ประกอบการก้ได้ตื่นตัวเรื่องนี้แล้ว และขออย่าฟังข่าวลือขอให้ฟังข่าวจากทางราชการ และจะไปตรวจราชการ ไปดูการค้าชายแดนที่ด่านคลองลึก ซึ่งติดกับปอยเปรต เพื่อประเมินสถานการณ์และไปดูความพร้อมถ้าสถานการณืบานปลายมากกว่านี้ด้วย
ภาพข่าว ภัทรพงศ์
หลังจากนั้นนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์ ได้กล่าวถึงกรณีความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ลดระดับความสัมพันธ์ลงแต่ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังได้ทบทวนพันธกรณีที่ไทยมีกับกัมพูชาและ การให้ความช่วยเหลือกับกัมพูชา เพราะนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาไม่เกียรติประเทศไทยและไม่เคารพศักดิ์ศรีของประเทศไทย และยังละเมิดเสมือนหนึ่งหมิ่นกระบวนการยุติธรรมของไทย ด้วยการไปแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยซึ่งเป็นนักโทษหนีคดี และถูกพิพากษาให้จำคุกแล้วแต่หนีหลบคดีและยังหลบหนีอีกหลายคดีเรื่องการทุจริตคอรับชั่น และรวมทั้งการที่จะประกาศไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนทั้งที่มีความตกลงอย่างไม่มีเหตุผล ผิดต่อธรรมเนียมปฎิบัติระหว่างประเทศ จึงต้องปรับระดับความสัมพันธ์ลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในส่วนความสัมพันธ์ของประชาชนก็ยังคงเดิม ซึ่งยังมีการค้าขายกันได้ แต่อย่าเอาปัญหาส่วนตัวไปสร้างปัญหาให้ประเทศไทย กับกัมพูชา และเอาการเมืองภายในไปทำให้ประเทศไทยเสียหาย ซึ่งนายกฮุนเซนควรแยกแยะระหว่างความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่าให้มากระทบผลประโยชน์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งมีมายาวนานเป็นร้อยๆปี เรื่องที่นักลงทุนของไทยจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชาก็ได้มีการเรียกประชุมชี้แจง ซึ่งผู้ประกอบการก้ได้ตื่นตัวเรื่องนี้แล้ว และขออย่าฟังข่าวลือขอให้ฟังข่าวจากทางราชการ และจะไปตรวจราชการ ไปดูการค้าชายแดนที่ด่านคลองลึก ซึ่งติดกับปอยเปรต เพื่อประเมินสถานการณ์และไปดูความพร้อมถ้าสถานการณืบานปลายมากกว่านี้ด้วย
ภาพข่าว ภัทรพงศ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น